^^o^^

รู้ลึกเรื่อง E-Commerce

รู้ลึกเรื่อง E-Commerce
คอลัมน์ประจำสัปดาห์นี้มาพร้อมกับความชุ่มฉ่ำของสายฝนที่โปรยปรายลงมา เกือบจะทุกวันเลย ตอนนี้ก็ขอให้เพื่อนๆ สมาชิกชาว ReadyPlanet ดูแลสุขภาพกันให้ดีๆ นะครับ เพราะถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาอาจจะพลาดสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตได้ และสำหรับเนื้อหาที่เราจะมาบอกเล่ากันในสัปดาห์นี้ ก็จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับ E-Commerce หลังจากที่เราได้พูดถึงตลาดขายสินค้าออนไลต์มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้อธิบายถึงรายละเอียด E-Commerce ดังนั้นในสัปดาห์นี้เราจะมาอธิบายถึงคำว่า E-Commerce กันเพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ความหมายของ E-Commerce
E-Commerce ก็คือ การดำเนินการธุรกิจการซื้อหรือการขายสินค้าบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต โดยที่ผู้ซื้อสามารถทำธุรกรรมทั้งหมดได้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเลือกชมสินค้า ซื้อสินค้า คำนวนเงินที่ต้องชำระ ชำระเงินได้ทั้งผ่านบัตรเครดิต โอนเงิน ได้โดยอัตโนมัติ และในส่วนของผู้ขายเองก็สามารถนำเสนอสินค้า ประชาสัมพันธ์ จัดโปรโมชัน ตรวจสอบวงเงินบัตรเครดิตของลูกค้า รับการชำระเงิน จัดการกับสินค้าได้ทั้งหมดเหมือนกับมีร้านค้าจริงๆ ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม ลด แก้ไข รายการสินค้าภายในร้าน รวมถึงการประสานงานไปยังผู้จัดส่งสินค้า โดยอัตโนมัต ซึ่งกระบวนการทั้งหมดที่ได้กล่าวมาสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้บนระบบ เครือข่ายอินเทอร์เนต โดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องเดินทางไปพบกัน

ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce
ข้อดี
1.สามารถเปิดดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.สามารถดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
3.ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ
4.ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดำเนินการ
5.ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประชาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก
6.สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการอินเทอร์เนตได้ง่าย
7.ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
8.ไม่จำเป็นต้องเปิดเป็นร้านขายสินค้าจริงๆ

ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ
2.ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เนตได้
3.ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิต
4.ขาดกฎหมายรองรับในเรื่องการดำเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์
5.การดำเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน

ประเภทของ E-Commerce
1. E-Commerce แบบ C <--> B เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ซื้อหรือผู้บริโภค (Customer)กับผู้ขาย (Business)ซึ่งเป็น
การซื้อสินค้าที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือจากร้านขายหนังสือ
2. E-Commerce แบบ B <--> B เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ขาย (Business)กับผู้ขาย(Business) ซึ่งเป็นการขายสินค้า
ที่มีจำนวนมากขึ้น ต้องการความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ร้านขายหนังสือต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3. E-Commerce แบบ B <--> C เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ขาย(Business) กับผู้ซื้อ(Customer) เช่นโรงพิมพ์ต้องการ
ซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน
4. E-Commerce แบบ C <--> C เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ซื้อ(Customer) กับผู้ซื้อ(Customer) เช่นผู้ซื้อต้องการขาย
รถยนต์ของตนเองให้กับผู้ซื้ออีกคน

บทส่งท้าย
สำหรับเนื้อหาประจำสัปดาห์นี้ ก็คงจะพอกันแค่นี้ก่อนน้ะครับ เอาพอหอมปากหอมคอกันก่อน เดียวจะแน่นเกินไปทำให้ดูไม่น่าอ่านและเพื่อนๆ สมาชิกอาจจะเบื่อกันซะก่อนนี่ก็เป็นเนื้อหาเริ่มต้นที่พอจะทำให้เพื่อนๆ พอเข้าใจกันมากขึ้นอีกนิดน้ะครับ สำหรับคำว่า E-Commerce และในสัปดาห์ต่อไปเราค่อยมาว่ากันต่อในเรื่องของ E-Commerce ที่ลึกลงไปมากกว่านี้เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้ที่สนใจจะ ดำเนินการทำการค้าแบบ E-Commere และสำหรับบทส่งท้ายประจำสัปดาห์นี้ ก็คงจะเป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพกันให้ดีๆ น้ะครับ ระวังจะเป็นหวัด เป็นห่วงเพื่อนๆ สมาชิกชาว ReadyPlanet ทุกท่าน



แหล่งที่มา
http://oxygen.readyplanet.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=419543&Ntype=19

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Pink

thai

free counters

Guost book

เกี่ยวกับฉัน

ผู้ติดตาม

About this blog